ข้อดีของความขี้เกียจ

ความขี้เกียจ ฟังดูเป็นด้านลบมากๆที่ผู้ใหญ่หลายคนพยายามถอยห่างและไม่ต้องการให้บุตรหลานเป็นคนขี้เกียจ แต่เชื่อกันเถอะว่าทุกคนก็คงปฏิเสธกันไม่ได้หรอก ว่าเคยมีความรู้สึกขี้เกียจเกิดขึ้นในชีวิตกันบ้าง แต่ก็แล้วแต่คนว่าจะขี้เกียจมากขี้เกียจน้อย เป็นอารมณ์ชั่ววูบ ซึ่งบางคนก็ได้นิยามความขี้เกียจไว้ในด้านบวกว่า “เขาไม่ได้ขี้เกียจนะ เพียงแต่เขาเป็นคนที่รักความสบายต่างหาก” ก็ขึ้นอยู่กับมุมมองและการนิยามของแต่ละคนกันไป

วันนี้เรามาดูข้อดีของความขี้เกียจกันบ้าง เพราะอะไรก็ตามถึงแม้จะเป็นสิ่งที่แย่หนักๆ แต่มันก็มีสิ่งดีแอบแฝงอยู่บ้าง สำหรับความขี้เกียจนั้นเป็นตัวช่วยให้บางคนไปสู่จุดที่ดีขึ้นมานักต่อนักแล้ว เพียงแต่บางครั้งพวกเขาอาจจะไม่ได้มองเห็นว่ามันคือจุดที่ช่วยคุณได้ดีขึ้น ยกตัวอย่างให้เห็นภาพก็เช่น บางครั้งคุณขี้เกียจที่จะทำความสะอาดห้องที่สกปรกมากๆ ในแต่ละครั้ง คุณจึงใช้วิธีการพยายามทำให้ห้องของคุณสกปรกน้อยที่สุดเพราะคุณจะได้ไม่ต้องเหนื่อยทำความสะอาดมาก หรือเด็กบางคนขี้เกียจทำการบ้านที่บ้านเพราะอยากจะดูหนังเล่นเกมส์เมื่อตอนกลับไปถึงบ้านให้เต็มที่ เด็กเหล่านั้นจึงเลือกที่จะทำการบ้านให้เสร็จเมื่อครูสั่งตอนที่โรงเรียน จะได้เสร็จๆไป เป็นต้น คุณเห็นอะไรไหม …? จากความขี้เกียจเหล่านี้กลายเป็นการช่วยให้พวกเขาทำอะไรบางอย่างได้ดี จัดการปัญหานั้นเองไปในตัว จึงมีคนเคยกล่าวไว้ว่า ถ้าอยากแก้ปัญหาบางอย่าง ก็ให้คนที่ขี้เกียจทำงาน เพราะพวกคนที่ขี้เกียจมักจะมีไอเดียแนวคิดบางอย่างที่ช่วยให้งานเสร็จไว หรือมักจะหาวิธีลัดได้ง่ายนั่นเอง

บางครั้งคนที่ฉลาดก็เกิดมาจากความที่เขาขี้เกียจมาก่อนจึงกลายมาเป็นผู้ที่คิดค้นวิธีการใหม่ๆขึ้น ฉะนั้นความขี้เกียจก็ไม่ได้เป็นสิ่งที่เลวร้ายเสมอไป หากแต่คุณเองจะต้องขี้เกียจให้เป็น หมายความว่าต่อให้คุณขี้เกียจมากมายสักแค่ไหน คุณก็จะต้องมีความรับผิดชอบควบคู่เสมอ เพราะความรับผิดชอบจะเป็นสิ่งที่ช่วยให้ความขี้เกียจของคุณมีค่า ไม่ใช่แค่ขี้เกียจไปวันๆไม่ทำอะไรแบบไม่รับผิดชอบชั่วดี มองเพียงแค่ความสุขระยะสั้นที่ทำให้ความสุขระยะยาวน่าเป็นห่วง ดังนั้นถ้าอยากเป็นคนขี้เกียจก็ต้องมีความรับผิดชอบด้วย แต่ถ้าจะให้ดีเหนือขึ้นไป ก็มองหาความขยันเสียดีกว่า เพราะความขยันทำให้คุณทำอะไรได้ก้าวหน้ากว่าความขี้เกียจ